มาหาอะไรในมหาวิทยาลัยชีวิต?....
หลายชีวิต…ต้องจบลงก่อนที่จะรู้ว่า ตัวเองนั้น “เกิดมาทำไม” ความสามัญของคำถาม ดูเหมือนจะตอบได้ไม่ยาก จากสามัญสำนึกที่ไม่ได้คิดอะไรมากนัก จึงมีผู้ละเลยในการตอบให้กับชีวิต หรือเพิกเฉยในการค้นหา เพราะหาที่สุดของคำตอบนั้นไม่ได้…
ดูช่างน่าเสียดายนัก ที่หลายต่อหลายคน เป็นคนฉลาดรอบรู้ สามารถตอบปัญหาเกี่ยวกับสิ่งต่างๆได้มากมาย แต่ไม่อาจตอบปัญหาที่สำคัญที่สุดในชีวิตได้ หรือไม่เคยคิดจะตอบมันอย่างจริงจัง
เมื่อเขายังไม่รู้เลยว่า…ตัวเองเกิดมาทำไม..? มีหน้าที่เกิดมาทำอะไรแน่? ใยเล่า? จะสามารถดำเนินและสรรหาเส้นทางชีวิตที่ถูกต้องได้
เขาเหล่านั้นจึงได้แต่ดำเนินชีวิตไปวันๆ ตามความรู้สึกที่นิยามขึ้นมาเองว่า “มันถูกต้อง” เพราะฉะนั้น จึงมีคนดำเนินชีวิตถูกบ้าง…ผิดบ้าง
บางคน…ต้องเสียน้ำตา ต้องฝืนยิ้ม ต้องเล่นเกมชีวิตที่ออกจะดูสุขุม แต่แท้จริงกลับขมขื่น …บางชีวิตบ่งถึงความมั่นคั่ง แต่ขาดความมั่นคงใดๆ ในจิตใจ เขาจึงต้องแสวงหาอย่างไร้จุดหมายต่อไป จนแล้ว..จนเล่า..และในที่สุดพวกเขาเหล่านั้น ก็จบชีวิตลง โดยยังไม่พบเลยถึงเป้าหมายชีวิตของการเกิดมา ว่าแท้จริง..เขาเกิดมาทำไม!
ที่จริง! มนุษย์ไม่ได้เกิดมาเพื่อชดใช้กรรม ไม่ได้เกิดมาเพื่อตายแล้วเกิดใหม่ หรือเกิดมาเพื่อแสวงหาความมั่งคั่งให้ถึงที่สุด แล้วสุดท้ายก็เอาอะไรไปไม่ได้
แต่ที่จริง มนุษย์เกิดมาเพื่อทำความบริสุทธิ์ กาย วาจา ใจ ให้เกิดขึ้น เกิดมาเพื่อสั่งสมความดี ตามหลักทาน ศีล ภาวนา อันเป็นเหตุที่ทำให้เราหมดทุกข์ พบความสุข และเป้าหมายอันที่สุด คือ นิพพาน หรือที่สุดแห่งธรรม ตามรอยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
แต่ในปัจจุบัน โลกยุคโลกาภิวัฒน์ ก็มิได้ทำให้ความสับสนในจิตใจของมนุษย์ลดน้อยลงเลย กลับยิ่งทวีความเสื่อมโทรมทางจิตใจให้มากขึ้นไปตามลำดับ จึงทำให้มนุษย์แก่งแย่ง แข่งขัน และแสวงหา..จนหลงลืมเป้าหมายของการเกิดมา ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้มนุษย์ยังสับสนอยู่มาก ในเรื่องความเข้าใจเกี่ยวกับโลก ชีวิตและจุดมุ่งหมายที่ชีวิตควรดำเนินไปให้ถึง
อะไรคือสิ่งที่เขาควรแสวงหา และอะไรคือสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องเสียเวลากับมัน บนโลกกว้างใบนี้ มีสิ่งต่างๆ ให้เราเรียนรู้มากมาย แต่น่าเสียดาย เราไม่มีชีวิตยืนยาวพอที่จะเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างได้ เราจึงควรที่จะเลือก เลือกที่จะดำเนินชีวิต เรียนรู้ว่าแก่นสารสาระที่แท้จริงของชีวิต คืออะไร สิ่งใดคือความสุขที่แท้จริงที่ทำให้ชีวิตเราเป็นชีวิตที่ประเสริฐ เป็นผู้ที่ดำรงอยู่ด้วยความไม่ประมาท ได้ใช้เวลาในชีวิตของเราอย่างคุ้มค่า สมกับการเกิดมาเป็นมนุษย์
ดังนั้น เราจึงควรมาเรียนวิชาที่ว่าด้วยชีวิต ซึ่งเป็นวิชาที่สำคัญมากที่สุด มากกว่าวิทยาการใดๆ บนโลก ที่เราเรียนเพื่อใช้แก้ปัญหาของชีวิต และทำให้พบความสุขที่แท้จริง ส่วนวิชาทางโลกที่เราเรียนกันอยู่ทุกวันนี้ เป็นเพียงวิชาที่จะนำไปใช้ในการประกอบอาชีพหาเงินมาเลี้ยงร่างกายให้อยู่รอดเท่านั้น ซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่า เมื่อร่างกายมีชีวิตรอดแล้ว จะทำให้ชีวิตมีความสุขเมื่อไร!
ฉะนั้น จงอย่าใช้ความมั่งคั่งมาเป็นตัววัดความสำเร็จในชีวิตอีกเลย
คนโง่…มักเอาชีวิตของตนไปแขวนไว้กับ ทรัพย์ ยศ ไมตรี และสุดท้ายล่ะ…คืออะไร?…กลับเอาอะไรไปไม่ได้ ซ้ำชั่วชีวิตของการแสวงหานั้น ก็คิดตลอดเวลาว่า มันคือความสุข แต่กลับได้ความทุกข์โดยไม่ตั้งใจเสมอมา
หากเราลองมองย้อนกลับไป บนเส้นทางการศึกษาที่ผ่านมา มีวิชาไหนบ้างที่สอนให้เรารู้จักชีวิต และเข้าใจตนเองอย่างแท้จริง นอกเสียจากวิชาที่ว่าด้วยชีวิตและจิตใจ ซึ่งก็คือ “ธรรมะ”
เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้…ไม่อยากให้คิดเลยว่า ธรรมะเป็นเรื่องงมงาย ไร้สาระ เพราะสิ่งเหล่านี้มีอยู่จริง ไม่งั้นเจ้าชายสิทธัตถะ คงไม่ยอมสละสมบัติอันมหาศาล และความสบายทั้งหมดในชีวิตมาเพื่อสิ่งนี้ เพียงแต่เรายังไม่ได้ลองพิสูจนืด้วยตัวเอง จึงยังไม่เข้าใจ
เหมือนกับถ้าเราไปบอกมนุษย์ยุคหินว่า…ในแม่น้ำมีเชื้อโรคอยู่มากมาย เต็มไปหมด แน่นอน..เขาย่อมไม่เชื่อ และอาจหาว่าพูดเหลวไหล จนกว่าเขาจะใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องดู ได้พิสูจน์ด้วยตัวเองแล้วถึงเชื่อ และเข้าใจตามความเป็นจริง
แต่เคยสงสัยบ้างไหมว่า…ทำไมผู้เฒ่าผู้แก่แทบทุกคนถึงหันมาสนใจธรรมะ
เพราะ ท่านเหล่านี้ ผ่านโลก ผ่านชีวิตมา 70 - 80 ปี รู้เห็นสิ่งอะไรมากมาย แสวงหาสิ่งต่างๆ มาตลอดชีวิต เสียเวลาเกือบทั้งชีวิต เพื่อค้นหาความสุขที่แท้จริง แต่ท้ายที่สุดก็เลือก “ธรรมะ”
คนฉลาดและคนมีปัญญาหลายคน เลือกที่จะศึกษาธรรมะในวัยต้นๆ ของชีวิต เพราะเขารู้ว่า การศึกษาธรรมะอย่างจริงจังไปพร้อมกับวิชาทางโลก จะทำให้เขาเป็นผู้ประสบความสำเร็จในชีวิตอย่างแท้จริง
ถึงเวลาแล้ว…ที่เราจะมาทำชีวิตของเราให้เต็มบริบูรณ์ มาศึกษาวิชาที่ว่าด้วยความสุขอันไพบูลย์
จงอย่าให้ความเคยชิน กลืนกินเวลาที่ต้องผลัดวันต่อไปอีกเลย เพราะบางทีเราอาจต้องจบชีวิตลง และไม่อาจตอบได้ว่า “ชั่วชีวิตนี้…เราเกิดมาทำไม มาแสวงหาอะไรกันแน่ และความสุขอันแท้จริงของชีวิตนั้น คือ อะไร?”
คนโง่…ปฏิเสธธรรมะ เพราะเห็นว่า น่าเบื่อ งมงาย เชย ไร้เหตุผล ยังไม่ถึงเวลาของตน จึงดำเนินชีวิตไปตามค่านิยม จนหลงลืมเป้าหมายแห่งตน
คนฉลาด…สนใจธรรมะ จึงอ่าน ฟัง แต่ไม่ยอมปฏิบัติอย่างจริงจัง จุงดูแปลกแยก ครึ ขรึม เคร่ง conservative หนีผู้คน หลงภูมิใจในตน แล้วกลายเป็นคนดีเฉพาะตน แต่คนอื่นไม่อยากเข้าใกล้ จึงจำแนกเขาออกไป เขาจึงมีความสุขบ้าง จากการแยกตัวออกมา
คนมีปัญญา…ศึกษาธรรมะอย่างถ่องแท้ ถึงแก่น ไม่ใช่แค่อ่าน แต่ปฏิบัติอย่างจริงจัง และนำมาประสานกับวิชาทางโลก และศึกษาควบคู่กันไป จึงมีความชำนาญในการนำไปใช้ เพราะไม่เลือกที่จะให้ความสำคัญกับธรรมะเป็นอันดับสุดท้าย เขาจึงเป็นคนดีก่อนใคร ที่มีแต่คนอยากเข้าใกล้ มีความหยุด สงบ ท่ามกลางความทุกข์อันวุ่นวาย มีสุขอันล้นเหลือ สำหรับตนเองและเผื่อแผ่ไปให้กับคนรอบข้าง และเป็นผู้ที่ประสบความสุขความสำเร็จในชีวิตที่แท้จริงในที่สุด