โอชารสแห่งชีวิต


โอชารสแห่งชีวิต


สมาธิคืออะไร…..ฉันตอบไม่ได้โดยฉับพลัน เพราะอรรถะนั้นมากมาย ไม่สามารถบรรจุหรือถ่ายทอดลงได้ด้วยตัวอักษร
สมาธิ เป็นอย่างไร …..นี่ซิที่ฉันพอจะตอบได้ แม้จะไม่เหมือนกับความเป็นไปที่เกิดขึ้นจริงๆ เพราะภาษาและตัวอักษรยังอ่อนแอเกินไปที่จะใช้แสดงหรือบรรยายวิถีความเป็นไปของดวงใจขณะอยู่ในอ้อมอกในกระแสอันอ่อนโยน และปลอดภัยของสิ่งที่เรียกว่า ธรรมะ หรือสมาธิ
          แต่แน่นอนที่สุด  สำหรับตัวฉัน สมาธิคือสิ่งที่ขาดไม่ได้เสียแล้ว ดุจเดียวกับลมหายใจที่หากผ่อนเบาหรือหยุดนิ่งไป ชีวิตของฉันก็หาไม่นั่นแหละ ผู้คนมากมาย ใครต่อใครนับไม่ถ้วน มักมีคำถามอยู่สองอย่างในเรื่องสมาธิว่า สมาธิ….คืออะไร หรือ สมาธิทำแล้ว ได้อะไร พร้อม ๆ กับบทสรุปที่ทุกคน ๆ คนตระเตรียมไว้แล้วสำหรับตัวเองว่า สมาธิเป็นเรื่องที่ยากเกินไป และยังไม่ถึงวัยหรือเวลาที่จะหันหน้ามารู้จักกับสมาธิ  สำหรับตัวผู้เขียนเองไม่มีความสามารถในเชิงบาลีหรือว่าสันสกฤต การเขียนในครั้งนี้ จึงเป็นการถ่ายทอดออกมาจากความรู้สึก และประสบการณ์เท่านั้น
          แปลกหรือไม่  ถ้าจะบอกว่า สมาธิคือ โอชารสแห่งชีวิต  และทำไมจึงเป็นเช่นนั้น แน่นอนเพราะนี่แหละคือหัวใจของสิ่งที่เรียกว่าสมาธิที่สามารถสัมผัสได้ เข้าถึงได้ โดยไม่จำกัดเพศ วัย หรือสถานะทางการศึกษา และสังคม
          ทำไมเล่า ก็เพราะว่าชีวิตของทุกคน ทุกภาวะ ทุกสถานะ ย่อมปนเปคละเคล้ากันไปมา ระหว่างรสหวานชื่นของความสุข ความสมปราถนาใดๆ รสเผ็ดร้อนของความทุกข์ทน ความผิดหวัง รสฝาดเฝื่อน ของการทะเลาะเบาะแว้ง การขัดใจ ไม่ถูกใจ รสเปรี้ยวของความทะเยอทะยานอยาก การแก่งแย่งแข่งขัน การอิจฉาริษยา รสขมของความเจ็บไข้ได้ป่วย ความล่วงเลยของวันวัย รสเค็ม ๆ มัน ๆ  ของชีวิตครอบครัวที่หาความพอดีไม่ค่อยจะได้ ซึ่งทั้งหมด หากนำมารวมกันแล้วจะได้รสแห่งชีวิตที่ปรูดปราดบ้าง หรือขมจนสุดจะทนบ้าง ดู ๆ แล้วเห็นว่า ชีวิตไม่เป็นความเอร็ดอร่อยเลยสักนิด นาน ๆ ครั้งจะดูถูกใจ พอใจสักที นักปราชญ์ทั้งหลาย จึงเห็นว่า ชีวิตคือความทุกข์
          ทว่าชีวิตคือความสุขนั้นก็ เป็นไปได้ ถ้าหากว่าเรารู้จักปรุงชีวิตให้มีโอชารสรู้จักการผสมผสานเติมนิดปรุงหน่อย  เพื่อถนอมใจของเราไม่ให้ต้องช้ำกับรสชาติที่จัดจ้านของชีวิต และวิธีการปรุงชีวิตให้มีความโอชะนั้นก็คือ การรู้จักใช้และเข้าใกล้การทำสมาธิ
          สมาธิ….ไม่ใช่ของยากที่จะเข้าไปทำความเข้าใจหรือรู้จักด้วย เพราะที่แท้ช่วงเวลาของการทำสมาธิ ก็คือ ช่วงเวลาของการพักผ่อน ช่วงเวลาของความสุขสมบูรณ์ของใจ ที่สามารถทำได้ ง่าย ๆ ด้วยการสลัดเรื่องราวต่าง ๆ ออกไปเสียชั่วคราว ทำราวกับว่าในโลกนี้มีเราแต่เพียงคนเดียวแล้วฝังใจตัวเองลงไปในบรรยากาศแห่งความรื่นรมย์ด้วยดนตรีบรรเลงแผ่วเบา เคล้ากับความเย็นของเครื่องปรับอากาศหรือสายลม หรือในที่ ที่อากาศโปร่งสบาย ทอดสายตาออกไปไกลคล้ายกับสามารถมองทะลุตึกรามบ้านช่องออกไปสู่พื้นที่เขียวขจีหรือฝั่งทะเลที่มีคลื่นสาดกระทบอยู่เป็นฟองฝอย แล้วคิดให้ได้ว่าสุขหรือทุกข์นั้นเป็นเรื่องของใจของเราที่จะต้องเข้าไปคลุกเคล้าผูกพัน ไม่มีใครเข้าไปเป็นเพื่อนในการนั้นสักคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นความทุกข์ด้วยรับรองว่าไม่มีใครอยากจะชะโงกหน้าเข้ามาเป็นเพื่อน เช่นเดียวกับความอิ่มหรือความหิว ที่ไม่มีใครเข้ามาร่วมกับกระเพาะของเรา เช่นเดียวกับความฝันที่ต่างคนต่างฝันกันไปคนเดียวหรือปวดหัวตัวร้อนก็เป็นอยู่คนเดียว ไม่เคยมีใครสามารถถ่ายเทไปแทนได้เลย
          อย่างนี้แล้วจะไปทุกข์อยู่ทำไม  สู้ทำใจทำตัวให้สบายสงบไม่ดีกว่าหรือ นำความสงบสบายนั้นมาใช้เป็นตัวปรับรสชาติของชีวิต  พิจารณาว่า เราปรุงรสชาติของเราเข้มข้นไปหรือไม่ จืดไปหรือเปล่า หรือว่าหนักไปทางไหนเกินไปในทิศใดซึ่งเป็นเรื่องที่ทำได้ทันที โดยมิต้องรอให้สมาธิก้าวหน้าอย่างที่เข้าใจ เพราะถ้าหากต้องรอเช่นนั้น เวลาสำหรับหนึ่งชีวิตคงจะหมดเสียก่อนไม่ทันได้ปรับปรุง
          ส่วนเรื่องของการทำใจให้สงบ สบายนั้นเล่าก็ง่ายแสนง่าย ที่ยากนั้นเพราะปักใจอย่างหนักหนากับคำว่าสมาธิต่างหาก ทั้ง ๆ ที่สมาธินั้น ถ้าให้ตีความให้กระชับ ก็คือ ภาวะแห่งความสุขที่เต็มไปด้วยความรู้อันเกิดจากความสงบและสบาย
          รู้อย่างนี้แล้ว…..ไม่ต้องรอช้ารับมาทำใจของท่านให้สงบสบายกันดีกว่าเพราะว่าสุขนุ่มๆ ที่จะตามมานั้นแหละ…..สมาธิ  ตัวพื้นฐานของความคิดดี ๆ ที่เรียกกันว่า ปัญญา หรือโอชารสที่สามารถนำมาปรุงชีวิตของเราให้ได้รสชาติพอดี
          ทำอย่างไร เพียงแต่ฝึกให้คุ้นกับการนึกถึงเรื่องสวย ๆ งาม ๆ เช่น ความเขียวของทุ่งหญ้า นาข้าว น้ำตก น้ำไหล สายธาร และท้องทะเล นึกถึงความเป็นอิสระของสายลมหมู่นก นึกถึงความอร่ามของพระจันทร์วันเพ็ญ เพื่อปรับให้ความรู้สึกหนัก ๆ เครียด ๆ ของเราให้ผ่อนคลายลงด้วยการนึกเช่นนี้ เปรียบเหมือนการสร้างบรรยากาศให้กับตนเองเป็นขั้นแรกของการฝึกความสงบ
          ต่อจากนั้นก็ให้เราลองนึกว่า ใจของเราสติของเราที่เป็นของเราแท้ ๆ นั้นอยู่ในตัว เพราะอย่างอื่น ๆ เรื่องอื่น ๆ แม้กระทั่งความเป็นไปของร่างกายของเราเองก็ยังไม่อยู่ในวิสัยที่จะไปบังคับ จึงไม่ใช่เรื่องของเรา สิ่งเดียวเท่านั้นที่เป็นของเราแท้ ๆ ก็คือใจ ซึ่งจะอยุ่ที่ศูนย์กลางกายของเรา ที่อาจเปรียบเทียบได้กับหลักวิทยาศาสตร์ที่ว่า แรงและกำลังทั้งหลายถูกส่งออกไปจากกลาง
          แน่นอน…….ต้องเริ่มด้วยการนึกอย่างง่าย ๆ ถึงของที่เราชอบใจที่นึกแล้วสบาย คะเนให้ภาพนั้นอยู่ในตัวบริเวณกลางท้อง นึกบ่อย ๆ ชัดหรือไม่ชัดก็ช่าง นึกได้นานหรือไม่นานก็ช่าง ขอให้นึกแล้วกัน ทำอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ บ่อย ๆ ทุกวัน วันละหลาย  ๆ ครั้ง  ครั้งละกี่วินาที หรือกี่นาทีก็ได้  และนึกอะไรก็ได้อีกเหมือนกัน
          เท่านั้นเอง ความสงบที่มีพื้นฐานอยู่บนความสบาย จะเริ่มถ่ายเทเข้ามาสู่ตัวเรา ใใจเราอย่างช้า ๆ นุ่มนวล ค่อยเป็นค่อยไป แล้วใจของเราทั้งหลาย จะดูร่มรื่นชื่นมื่นชุ่มชื้นขึ้นทุกที ๆ และนี่แหละคือบันได้ก้าวใหญ่ของสมาธิ ที่ง่ายดายไม่เหลือบ่ากว่าแรง และเป็นสิ่งที่ทุกคนทำได้โดยไม่จำกัดเวลาและสถานที่ นึกได้เมื่อใดทำเมื่อนั้น เพราะเรื่องของใจเป็นสิ่งที่ไม่มีใครรู้อยู่แล้ว
          จากจุดนี้เองแม้เพียงเริ่มต้น ชีวิตที่เหน็ดเหนื่อยรสจัดจ้านก็จะเริ่มกลมกล่อมขึ้น หากจะถามว่าทำไม คำตอบคงไม่ได้แน่ชัด เพียงแต่พอจะบอกได้ว่า เพียงเพราะใจสงบขึ้น อารมณืจึงคลายความขึ้น ๆ ลง ๆ ใจเย็นสามารถเพิ่มเวลาของการพิจารณาเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้นานกว่าเดิม พอที่จะทำให้มองเห็นเหตุผลหรือความควร ไม่ควรได้ทัน ก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไรออกไป ประกอบกับการได้นึกถึงได้เอาใจไปผูกพันกับธรรมชาติหรือสิ่งที่พอใจในตัวเองบ่อย ๆ เวลาหรือโอกาสที่จะไปกระทบกระทั่งกับสิ่งอื่นจีงมีน้อยลง อีกทั้งมนุษย์เรายังมีความรักตัวเองเป็นทุนหากได้รุ้เสียแล้วว่า ความสุขความสงบความสบายจริง ๆ นั้นเป็นอย่างไร จะไม่มีวันที่จะยอมให้ความทุกข์หรือความเร่าร้อนใด ๆ เข้ามาแทนที่ มีแต่จะรักษาความสุขที่มีค่านั้นไว้กับตัว
          ทั้งหมดจึงเป็นคำตอบหรือคำขยายหมายความว่า สมาธิคือโอชารสแห่งชีวิตที่ผู้เขียนได้พบและได้สัมผัสกับตัวเอง จนมิอาจยอมให้สิ่งใดมาทำให้โอชารสอันเลิศนี้ต้องเจือจางได้ เพราะที่แท้สมาธิ ก็คือชีวิต เป็นความจริงที่ควบคู่กับลมหายใจไม่ว่าคุณหรือท่านจะเป็นใครก็ตาม