เผยแพร่เมื่อ 24 ม.ค. 2014
พระมงคลเทพมุนี สด จนฺทสโร นำนั่งสมาธิ ฉบับสมบูรณ์
พระมงคลเทพมุนีได้อธิบายลักษณะของสมถะไว้ว ่า หมายถึง การทำใจให้หยุด มีวิธีการคือการ รวมความเห็น ความจำ ความคิด ความรู้ ไว้ที่ศูนย์กลางกายให้ได้ โดยมีบริกรรมนิมิตเป็นดวงแก้วใส และบริกรรมภาวนาว่า สัมมา อะระหัง เข้าช่วย ผลแห่งการเจริญสมถะย่อมทำให้เข้าถึงปฐมฌาน คือ ดวงปฐมมรรค และเข้าถึงกายมนุษย์ละเอียด กายพรหม กายอรูปพรหมไปตามลำดับ
การเจริญวิปัสสนากัมมัฏฐาน คือ การเห็นแจ้งด้วยธรรมจักขุของพระธรรมกาย รู้ได้ด้วย ญาณของพระธรรมกาย เกิดจากการเข้าถึงพระธรรมกาย และใช้ตา และญาณของพระธรรมกายพิจารณา ไตรลักษณ์ และเมื่อใช้ธรรมจักขุและญาณของพระธรรมกายพ ิจารณาอริยสัจ ในกายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์ กายพรหม กายอรูปพรหม ทำให้บรรลุมรรคผลไปตามลำดับขั้น
ในหลักปฏิบัติสมถะและวิปัสสนากัมมัฏฐานของ พระมงคลเทพมุนี จัดแบ่งกาย 8 กาย ตั้งแต่กายมนุษย์ถึงกายอรูปพรหมละเอียด ว่าเป็นสมถะ กาย 10 กาย ตั้งแต่กายธรรมโคตรภูหยาบ จนถึง กายธรรมพระอรหัตต์ละเอียดเป็นวิปัสสนา
พระมงคลเทพมุนีได้อธิบายลักษณะของสมถะไว้ว
การเจริญวิปัสสนากัมมัฏฐาน คือ การเห็นแจ้งด้วยธรรมจักขุของพระธรรมกาย รู้ได้ด้วย ญาณของพระธรรมกาย เกิดจากการเข้าถึงพระธรรมกาย และใช้ตา และญาณของพระธรรมกายพิจารณา ไตรลักษณ์ และเมื่อใช้ธรรมจักขุและญาณของพระธรรมกายพ
ในหลักปฏิบัติสมถะและวิปัสสนากัมมัฏฐานของ
เมื่อต้องภัยได้ทุกข์อะไร จรดอยู่ดวงบุญนั้น ให้ดวงบุญนั้นช่วย อย่าไปนึกถึงสิ่งอื่นนะ นึกถึงบุญกุศลที่ตนกระทำนั่นแหละ เป็นที่พึ่งของตัวจริง ช่วยตัวได้จริงๆ
พระพุทธเจ้าเมื่อเข้าที่คับขัน ท่านยังนึกถึงบุญของท่านที่ท่านได้บำเพ็ญบารมีของท่านมา แน่วแน่ทีเดียว มั่นคงทีเดียว เมื่อมั่นคงเช่นนั้น นางธรณีผุดขึ้นมาบำบัดพญามารให้พ่ายแพ้ ด้วยน้ำที่พระองค์ทรงหลั่งให้ตกลงเหนือพื้นปฐพี นางธรณีรับไว้รูดปราดเดียวเป็นทะเลท่วมพญามารป่นปี้หมด ยับเยิน แพ้พระพุทธเจ้าด้วยน้ำที่พระองค์ทรงกรวดนั่นแหละ นี้พระองค์ทรงนึกถึงทานบารมี ศีลบารมี เนกขัมบารมี ปัญญาบารมี วิริยบารมี ขันติบารมี สัจจบารมี อธิษฐานบารมี เมตตาบารมี อุเบกขาบารมี ให้เป็นอาวุธผจญพญามารให้อันตรธานพ่ายแพ้พระองค์ไป
เราก็เหมือนกัน ต้องภัยได้ทุกข์ก็นึกถึงบุญบารมีที่เราได้สั่งสมอบรมมานี้ นิ่งอยู่ตรงนั้นแหละ กลางดวงนั่นแหละ ถูกดวงบุญพอดี
ทานการให้สำเร็จเป็นบุญดังนี้ เมื่อสำเร็จเป็นบุญแล้ว ก็เป็นที่ระลึกดังนี้ นี้เรียกว่า ทานญฺ จ